เนื้อหาที่เรียน
1.ความหมายของเด็กพิเศษ
-ทางการแพทย์จะเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า "เด็กพิการ" เด็กที่มีความบกพร่อง สุญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ร่างกายหรืิิอจิตใจ
-ทางการศึกษา เด็กที่ต้องรับโอกาสในการศึกษาเฉพาะแต่ละบุคคลเพราะอาการของเด็กแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
สรุปความหมายของเด็กพิเศษ
-เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เท่าที่ควรจากการสอนปกติ
-มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางสติปัญญาและอารมณ์
-จำเ็ป็นต้องได้รับการกระตุ้น ฟื้นฟู และบำบัด
-จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
2.ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม ดังนี้
2.1 กลุ่มที่มีความสามรถพิเศษสูง -----> เด็กกลุ่มนีเรียกว่า "ปัญญาเลิศ" ซึ่งมี IQ สูงถึง 120
2.2 กลุ่มที่มีความบกพร่อง -----> กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้มี 10 อย่าง
2.2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ( Children With Intellectual Disabilities ) คือ เด็กที่มีสติปัญญาต่ำ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
(1) เด็กเรียนช้า
-สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติได้
-มี IQ อยู่ระหว่าง 71 - 90
-สามารถพัฒนาพัฒนาการได้
-สาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก คือ สภาวะด้านการเงิน ครอบครัว สภาพแวดล้อม การเสริมสร้างประสบการณ์ วิธีการสอน ซึ่งคือสาเหตุสำคัญ และปัจจัยภายใน คือ พัฒนาการของเด็ก
(2) เด็กปัญญาอ่อน คือ เด็กที่มีพัฒนาการหยุะงัก สติปัญาต่ำ ความสามารถเรียนรู้น้อย พัฒนาการล่าช้า การจำกัดทางด้านทักษะ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
-ปัญญาอ่อนหนักมาก -----> มี IQ น้อยกว่า 20 ต้ิองอยู่ในการดูแลของสถานที่ดูและเด็กพิการ
-ปัญญาอ่อนหนัก------> มี IQ 20 - 34 สามารถช่วยเหลือตนเองได้ง่าย ๆ
-ปัญญาอ่อนกลาง----->มี IQ 35 - 49 สามารถทำงานง่าย ๆ ได้ที่ไม่ละเอียดมาก เรียกเด็กลุ่มนี้ว่า T.M.R คือสามารถฝึกได้
-ปัญญาอ่อนน้อย----->มี IQ 50 - 70 สามารถเข้าโรงรียนได้ เรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า E.M.R
(3) ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด -ความสนใจสั้ัน
-ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนง่าย -ทำงานช้า
-รุนแรง -อวัยวะบางส่สนผิดปกติ
2.2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ( Children With Hearing Impaired ) คือ เด็กที่มีความบกพร่องหรือสุญเสียการได้ยินเป็นสาเหตุให้รับฟังเสียงต่าง ๆ มีปัญหา แบ่งได้ 2 กลุ่ม
(1) เด็กหูตึง------>สามารถรับฟังเสียงโดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกได้ 4 กลุ่ม
-หูตึงระดับน้อย----->ได้ยินเสียงระหว่าง 26 - 40 dB จะไม่ได้ยินเสียงเบามาก เช่น เสียงกระชิบ
-หูตึงระดับปานกลาง------>สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 41 - 55 dB หากยืนอยู่ในระยะ 3- 5 ฟุตจะไม่ได้ยินเสียง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน
-หูตึงระดับมาก------->สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 56 - 70 dB มีปัญหาในการฟัง ต้องเป็นเสียงระดับเครื่องตัดหญ้าถึงจะได้ยิน
-หูตึงระดับรุ่นแรง------>สามารถได้ยินในระดับ 71 - 90 dB ต้องเสียงดังมาก ๆ เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง เด็กมักพูดไมชัด
(2) เด็กหูหนวก------->สูญเสียการได้ยิน ต้องมีความดัง 91 dB ขึ้นไป
(3) ลักษณะการบกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองการพูด -มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกไวนากรณ์ -พูดด้วยน้ำเสียงแปลก
-เสียงต่ำ เสียงสูงเกินความจำเป็น -มักทำหน้าเด๋อ
2.2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น (Children With Visual Impairment ) คือ
-มองไม่เห็น หรือ เรือนราง
-มองเห็นได้ 1 ใน 10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้าง 30 องศา
จำแนกได้ 2 ประเภท ดังนี้
(1) เด็กตาบอด
-มองไม่เห็นเลยหรืออาจเห็นบางเพียงเล็กน้อย
-อาจมองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200 หรือเพียง 1 ใน 10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้าง 5 องศา
(2) เด็กตาบอดไม่สนิท
-บอพร่องทางสายตา
-มองเห็นบาง
-ทดสอบสายตาข้างที่ดีได้ 6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
(3) ลักษณะความบกพร่อง
-เดินงุ่มงาม เดินสะดุด -มองสีผิดปกติ
-บ่นปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตายลาย -ก้มศีรษะใกล้เวลาทำงาน
-ปิดตาข้างมองไม่เห็นแล้วใช้ข้างที่ดีมอง
-มีความลำบากในการจำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น