วันนี้ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากเป็นช่วงสอบกลางภาคตั้งแต่วันที่ 19-27 ธันวาคม 2556
My Profile
- Sirinya Jaithong
- Miss Sirinya Jaithong Student ID.5411201691 No.6 early childhood education.
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนวันที่ 12 ธันวาคม 2556
เนื้อหาที่เรียน
1. พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
- พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะส่วนต่าง ๆ รวมทั้งตัวบุคคล
- ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เด็กที่บกพร่องทางพัฒนาการ
- หยุดอยู่กับที่
- ถดถอยลง
- เด็กที่ีมีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกันอาจช้าด้านเดียวหรือหลายด้าน
- ถ้าด้านเดียวจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านอื่นด้วย เช่น สติปัญญาไม่ดีก็พูดไม่ได้
3. ปัจจัยที่ส่งผลทำให้พัฒนาการล่าช้า
- ด้านชีวภาพ -----> เช่น ยีน โครโมโซม
- สภาพแวดล้อมก่อนคลอด --------> ขึ้นอยู๋กับการดูแลของแม่
- กระบวนการคลอด
- สภาพแวดล้อมหลังคลอด----------> การดูแลเด็ก
4. สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
( 4.1 ) โรคทางพันธุกรรม คือ เป็นตั้งแต่เกิด มักมีความผิดปกติร่วมด้วย เช่น โรคผิวเผือก โรคเท้าแสนปม
( 4.2 ) โรคของระบบประสาท อาการที่พบบ่อย คือ การชัก
( 4.3 ) การติดเชื้อ มีการติดเชื้อในครรภฺ์ น้ำหนักแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็ก ตับโต ม้ามโต หูหนวก ต้อกระจก หลังติดเชื้อทำให้เด็กสมองอักเสบ
( 4.4 ) ความผิดปกติเกี่ยวกับเมทาบอลิซึม เช่น ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
( 4.5 ) ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด ที่อันตรายมาก คือ ภาวะการขาดออกซิเจนในระหว่างคลอด เช่น รกผันคอเด็ก
( 4.6 ) สารเคมี
-สารตะกั่ว ส่งผลให้เด็กมีอาการซึมเศร้า ผิวคล้ำ ตับเป็นพิษ
-แอลกฮอล์ ส่งผลให้เด็กน้ำหนักน้อยมาก ศีรษะเล็ก ปัญญาบกพร่อง บกพร่องทางอารมณ์ เรียกว่า Fetal Alcohol Syndrom (FAS) ไม่มีริมฝีปาก หนังคลุมตาตามาก จมูกแบน
-นิโคติน เด็กน้ำหนักน้อยมากเพราะขาดสารอาหาร เวลาสูบบุหรี่หลอดเลือดจะตีบทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไปเต็มที่ ทำให้สติปัญญาอ่อน เพิ่มอัตราการตาย สมาธิสั้ัน ก้าวร้าว มีปัญหาในการเข้าสังคม
( 4.7 ) การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมทำให้ขาดสารอาหาร
5. อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
- พัฒนาการล่าช้าพบมากว่า 1 ด้าน
- ปฏิกิริยาย้อนกลับ ไม่หายแม้ถึงช่วงอายุควรจะหายก็ไม่หาย เช่น แย้นิ้วแล้วเด็กยังกำอยู่
6. แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
( 6.1 ) การซักประวัติ เช่น โรคางพนธุกรรม ประวัติการคลอด การเจ็บป่วยของคนในครอบครัว เมื่อซักประวัติเสร็จแล้วบอกได้ว่า
- ลักษณะพัฒนาการคงที่ / ถดถอย
- พัฒนาการล่าช้าด้านไหน ระดับไหน
- สาเหตุที่เดกพัฒนาการช้าเกิดจากอะไร
- บ่งชี้มาจากยีนหรือไม่
- ได้รับการฟื้นฟูและช่วยเหลืออย่างไร
( 6.2 ) ตรวจร่างกาย เช่น ตับโต ม้ามโต รอบศีรษะ ระบบประสาท การมองเห็น การฟัง ดูแลลักษณะเด็กที่ถูกทารุณ
( 6.3 ) การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ การสแกนสมอง
( 6.4 ) ประเมินพัฒนาการ
- ไม่เป็นทางการ เช่น สอบถามพ่อแม่
- การประเมินในเวชปฏิบัติ เช่น แบบทดสอบ Denver II , Gesell Drawing , แบบประเมินของสถาบันราชานูกูล
1. พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
- พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะส่วนต่าง ๆ รวมทั้งตัวบุคคล
- ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เด็กที่บกพร่องทางพัฒนาการ
- หยุดอยู่กับที่
- ถดถอยลง
- เด็กที่ีมีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกันอาจช้าด้านเดียวหรือหลายด้าน
- ถ้าด้านเดียวจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านอื่นด้วย เช่น สติปัญญาไม่ดีก็พูดไม่ได้
3. ปัจจัยที่ส่งผลทำให้พัฒนาการล่าช้า
- ด้านชีวภาพ -----> เช่น ยีน โครโมโซม
- สภาพแวดล้อมก่อนคลอด --------> ขึ้นอยู๋กับการดูแลของแม่
- กระบวนการคลอด
- สภาพแวดล้อมหลังคลอด----------> การดูแลเด็ก
4. สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
( 4.1 ) โรคทางพันธุกรรม คือ เป็นตั้งแต่เกิด มักมีความผิดปกติร่วมด้วย เช่น โรคผิวเผือก โรคเท้าแสนปม
( 4.2 ) โรคของระบบประสาท อาการที่พบบ่อย คือ การชัก
( 4.3 ) การติดเชื้อ มีการติดเชื้อในครรภฺ์ น้ำหนักแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็ก ตับโต ม้ามโต หูหนวก ต้อกระจก หลังติดเชื้อทำให้เด็กสมองอักเสบ
( 4.4 ) ความผิดปกติเกี่ยวกับเมทาบอลิซึม เช่น ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
( 4.5 ) ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด ที่อันตรายมาก คือ ภาวะการขาดออกซิเจนในระหว่างคลอด เช่น รกผันคอเด็ก
( 4.6 ) สารเคมี
-สารตะกั่ว ส่งผลให้เด็กมีอาการซึมเศร้า ผิวคล้ำ ตับเป็นพิษ
-แอลกฮอล์ ส่งผลให้เด็กน้ำหนักน้อยมาก ศีรษะเล็ก ปัญญาบกพร่อง บกพร่องทางอารมณ์ เรียกว่า Fetal Alcohol Syndrom (FAS) ไม่มีริมฝีปาก หนังคลุมตาตามาก จมูกแบน
-นิโคติน เด็กน้ำหนักน้อยมากเพราะขาดสารอาหาร เวลาสูบบุหรี่หลอดเลือดจะตีบทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไปเต็มที่ ทำให้สติปัญญาอ่อน เพิ่มอัตราการตาย สมาธิสั้ัน ก้าวร้าว มีปัญหาในการเข้าสังคม
( 4.7 ) การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมทำให้ขาดสารอาหาร
5. อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
- พัฒนาการล่าช้าพบมากว่า 1 ด้าน
- ปฏิกิริยาย้อนกลับ ไม่หายแม้ถึงช่วงอายุควรจะหายก็ไม่หาย เช่น แย้นิ้วแล้วเด็กยังกำอยู่
6. แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
( 6.1 ) การซักประวัติ เช่น โรคางพนธุกรรม ประวัติการคลอด การเจ็บป่วยของคนในครอบครัว เมื่อซักประวัติเสร็จแล้วบอกได้ว่า
- ลักษณะพัฒนาการคงที่ / ถดถอย
- พัฒนาการล่าช้าด้านไหน ระดับไหน
- สาเหตุที่เดกพัฒนาการช้าเกิดจากอะไร
- บ่งชี้มาจากยีนหรือไม่
- ได้รับการฟื้นฟูและช่วยเหลืออย่างไร
( 6.2 ) ตรวจร่างกาย เช่น ตับโต ม้ามโต รอบศีรษะ ระบบประสาท การมองเห็น การฟัง ดูแลลักษณะเด็กที่ถูกทารุณ
( 6.3 ) การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ การสแกนสมอง
( 6.4 ) ประเมินพัฒนาการ
- ไม่เป็นทางการ เช่น สอบถามพ่อแม่
- การประเมินในเวชปฏิบัติ เช่น แบบทดสอบ Denver II , Gesell Drawing , แบบประเมินของสถาบันราชานูกูล
วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนวันที่ 5 ธันวาคม 2556
เนื่องจากวันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ จึงงดการเรียนการสอน
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556
เนื้อหาที่เรียน
2.2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ( Children With Behaviorally And Emotional Disorders ) หมายถึง เด็กที่มีกล้มเนื้อบอพร่องด้วย ควบคุมอารมณ์ให้อยู่ปกตินาน ๆ ไม่ได้ ทำตามกฏเกณฑ์ไม่ได้เลย อารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว แบ่งได้ 2 ประเภท
- เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ทำให้เด็กก้าวร้าวมาก
- เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ทำให้เกิดความวิตกังวล หนีสังคม ก้าวร้าว
( 1 ) การจัดเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ต้องคำนึงองค์ระกอบ ดังนี้
- สภาพแวดล้อม
- ความคิดเห็นของเด็กแต่ละคน
( 2 ) ผลกระทบ
- ไม่สามารถเรียนกับเด็กปกติ
- มักอยู่คนเดียว
- เก็บกดเข้ากับคนอื่นไม่ได้
- บ่นปวดตามร่างกาย
- มีความหวาดกลัว
( 3 ) เด็กที่บกร่องทางพฤติกรรมรุนแรงมาก
- เด็กสมาธิสั้ัน ( Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders )
- เด็กออทิสติก ( Autistic )
( 4 ) ลักษณะเด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรม
- ฉี่ราด -เรียกร้องความสนใจ
-ติดขวดนม/ของใช้ -อ่อนไหว
-ดูดนิ้ว/กัดเล็บ -อิจฉา ก้าวร้าว
-หนีสังคม -ฝันกลางวัน
-พูดเพ้อเจ้อ
2.2.7 เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้ ( Children With Learning Disorders ) คือ เด็กที่มีเชาว์ปัญญาปกติหรือเรียกอีกอย่างว่า เด็ก L.D มักมีปัญหาในการเรียนรู้บางอย่าง เช่น การพูด การอ่าน การเขียน การฟัง การสะกดคำ การคำนวณ ไม่รวมเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย เด็กพิการ
( 1 ) ลักษณะอาการ
-มีปัญหาทักษะคณิตศาสตร์
-ปฏิบัติตวามคำสั่งไม่ได้
-เรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
-ซุ่มซ่าม
-เอาแต่ใจตัวเอง
2.2.8 เด็กออสติก ( Autistic ) หมายถึง เด็กที่ำมีพัฒนาการล่าช้าเริ่มแรกเกิด -3 ขวบ บกพร่องพฤติกรรมด้วย
-เด็กที่บกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อสาร
-เด็กแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
-มีความบกพร่องางสิตปัญญานิด ๆ แต่มีเชาว์ปัญญาปกติ
-มีความอัจริยะ
-มีทักษะทางสัังคมน้อย
-มีทักษะทางภาษาน้อย
-ทักษะทางการเคลื่อนไหวและทักษะเกี่ยวกับรูปทรงมีค่อนข้างน้อย
( 1 ) ลักษณะอาการ
-อยู่กับตัวเอง -ไม่ยอมพูด
-ไม่เข้าหาคนอื่นเพื่อให้ปลอบ -ยึดติดกับวัตถุ
-ไม่เล่นกับกลุ่มเพื่อน -เหมือนหูหนวก เรยกแล้วไม่หัน
-ต่อต้าน แสดงอารมณ์อย่างไร้เหตุผล -จองอะไรนาน ๆ
2.2.9 เด็กพิการซ้ำซ้อน ( Children With Multiple Handicaps ) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องมากกว่า 1 อย่าง เป็นเหตุให้มีปัญหาในการเรียนรู้ เช่น ปญญาอ่อนร่วมหูหนวก หูหนวกร่วมตาบอด
งานที่ได้รับมอบหมาย
อาจารย์ให้ดูวิดีโอ แล้วสรุปเป็นองค์ความรู้
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556
เนื้อหาที่เรียน
2.2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ ( Children With Physical And Hearth Impairment ) หมายถึง เด็กที่อวัยวะไม่สมส่วน หรือ หายไป มีปัญหาระบบประสาททำให้เคลื่อนไหวลำบาก แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
( 1 ) บกพร่ิองทางร่างกาย
1.1 เด็ก C.P คือ เด็กที่บกพร่องที่สมอง เกิดจากสมองอัตพาตเดิกในช่วงที่อยู่ในครรภ์ การเคลื่อนไหวช้า การพูดช้า
1.2 อาการ
- อัมพาตเกร็งของขา
- อัมพาตการเคลื่อนไหว
- อัมพาตการทรงตัว
- อัมพาตการแข็งตัว
- อัมาตแบบผสม
1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดจากสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อมสลายทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้ันลีบ อาจมีความพิการซ้ำซ้อน ความจำแย่ลง
1.3 โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เท้าปุก และ Spina Bifida
1.4 โปริโอ คือ อาการกล้ามเนื้อลีบส่วนมากเกิดที่ขาไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา เกิดจากเชื้อไวรัส น้ำไม่สะอาด
1.5 แขน ขา ด้วนแต่กำเนิด
1.6 โรคกระดูกอ่อน
( 2 ) บกพร่องทางสุขภาพ เป็นลักษณะอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง มีดังนี้
2.1 ลมบ้าหมู ชักเสร็จจะหมดสติและหมดความรู้สึก ควรให้เด็กกัดผ้า
2.2 ชักสั้น ๆ ระยะในการชักประมาณ 5 -10 วินาที
2.3 ชักแบบรุนแรง กล้ามเนื้อเก็รง 2 - 5 นาที เมื่อหยุุดชักจะหมดสติ
2.4 ชักแบบไม่รู้ตัว เช่น การร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเมอ
2.5 ชักแบบ Partial Complex คือ การเดินไปชักไป กัดริมฝีปาก ถูตามแขนขา
2.5 โรคทางระบบทางเดินอาหาร
( 3 ) ลักษณะอาการ
- มีปัญหาในการทรงตัว - ท่าเดินคล้ายกรรไกร
- ไอเสียงแห้ง - มักเจ็บหน้าอก บ่นปวดหัว
- หน้าแดงง่าย - กระหายน้ำ
2.2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด ( Children With Speak And Language Disorder ) หมายถึงเด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน หารใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นดั่งตั้งใจ มีท่าทางผิดปกติขณะพูด
( 1 ) ประเภทของอาการ
1.1 ความผิดปกติด้านการออกเสียง
1.2 ความผิดปกติด้านจังหวะ เช่น พูดรัว พูดติดอ่าง
1.3 ความผิดปกติด้านเสียง เช่น ระดับเสียง คุณภาพของเสียง
1.4 ความผิดปกติทางการพูดเพราะพยาธิที่สมอง Aphasia
- Motor Aphasia คือ อาการสั่งได้ เข้าใจ แต่พูดกลับไม่ได้
- Wernick 's Aphasia คือ ไม่เข้าใจคำถาม ออกเสียงติดขัด มักใช้คำพูดผิด ๆ
- Conduction คือ ออกเสียงติดขัด บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมกับอัมพาตสมองซีกขวา
- Nominal คือ เข้าใจ พูดตามได้แต่บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstman 's Syndrom
- Global คือ ไม่เข้าใจภาษาที่พูด เช่น พูดไม่ได้เลย
- Sensory คือ เขียนเองไม่ได้ บอกชื่อสิ่งของไม่ได้แต่เขียนตามแบบได้
- Motor คือ ลอก เขียน ไม่ได้เลย เชียนตามคำบอกไม่ได้
- Cortical คือ อ่านไม่ออกเพราะไม่เข้าใจภาษา
- Motor Alexia คือ เห็นตัวหนังสือ เข้าใจแต่อ่านไ่ม่ได้
- Gerstman's Syndrom ไม่รู้ชื่อนิ้ว ไม่รู้จักซ้ายขวา คำนวณไม่ได้ เขียน อ่าน ไม่ได้
-Visual Agnosia คือ เห็นวัตถุแต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร
- Auditory Agnosia คือ ไม่บอพร่องการได้ยินแต่ไม่สามารถแปลความหมายได้ ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ
( 2 ) ลักษณะอาการ
- ทารกจะร้องไห้เบา ๆ - ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
- ไม่อ้อแอ้ภายใน 10 เดือน - หลัง 5 ขวบ ใช้ประโยคไม่สมบูร์
- ไม่พูดภายใน 2 เืดือน - พูดกระตุกกระตัก
- หลัง 3 ขวบ ภาษาพูดเข้าใจยาก - ใช้ภาษาท่าทางสื่อความหมาย
งานที่ได้รับมอบหมาย
อาจารย์ให้ดูวีดิโอ แล้วสรุปสิ่งที่ได้จากวีดิโอ
2.2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ ( Children With Physical And Hearth Impairment ) หมายถึง เด็กที่อวัยวะไม่สมส่วน หรือ หายไป มีปัญหาระบบประสาททำให้เคลื่อนไหวลำบาก แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
( 1 ) บกพร่ิองทางร่างกาย
1.1 เด็ก C.P คือ เด็กที่บกพร่องที่สมอง เกิดจากสมองอัตพาตเดิกในช่วงที่อยู่ในครรภ์ การเคลื่อนไหวช้า การพูดช้า
1.2 อาการ
- อัมพาตเกร็งของขา
- อัมพาตการเคลื่อนไหว
- อัมพาตการทรงตัว
- อัมพาตการแข็งตัว
- อัมาตแบบผสม
1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดจากสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อมสลายทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้ันลีบ อาจมีความพิการซ้ำซ้อน ความจำแย่ลง
1.3 โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เท้าปุก และ Spina Bifida
1.4 โปริโอ คือ อาการกล้ามเนื้อลีบส่วนมากเกิดที่ขาไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา เกิดจากเชื้อไวรัส น้ำไม่สะอาด
1.5 แขน ขา ด้วนแต่กำเนิด
1.6 โรคกระดูกอ่อน
( 2 ) บกพร่องทางสุขภาพ เป็นลักษณะอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง มีดังนี้
2.1 ลมบ้าหมู ชักเสร็จจะหมดสติและหมดความรู้สึก ควรให้เด็กกัดผ้า
2.2 ชักสั้น ๆ ระยะในการชักประมาณ 5 -10 วินาที
2.3 ชักแบบรุนแรง กล้ามเนื้อเก็รง 2 - 5 นาที เมื่อหยุุดชักจะหมดสติ
2.4 ชักแบบไม่รู้ตัว เช่น การร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเมอ
2.5 ชักแบบ Partial Complex คือ การเดินไปชักไป กัดริมฝีปาก ถูตามแขนขา
2.5 โรคทางระบบทางเดินอาหาร
( 3 ) ลักษณะอาการ
- มีปัญหาในการทรงตัว - ท่าเดินคล้ายกรรไกร
- ไอเสียงแห้ง - มักเจ็บหน้าอก บ่นปวดหัว
- หน้าแดงง่าย - กระหายน้ำ
2.2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด ( Children With Speak And Language Disorder ) หมายถึงเด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน หารใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นดั่งตั้งใจ มีท่าทางผิดปกติขณะพูด
( 1 ) ประเภทของอาการ
1.1 ความผิดปกติด้านการออกเสียง
1.2 ความผิดปกติด้านจังหวะ เช่น พูดรัว พูดติดอ่าง
1.3 ความผิดปกติด้านเสียง เช่น ระดับเสียง คุณภาพของเสียง
1.4 ความผิดปกติทางการพูดเพราะพยาธิที่สมอง Aphasia
- Motor Aphasia คือ อาการสั่งได้ เข้าใจ แต่พูดกลับไม่ได้
- Wernick 's Aphasia คือ ไม่เข้าใจคำถาม ออกเสียงติดขัด มักใช้คำพูดผิด ๆ
- Conduction คือ ออกเสียงติดขัด บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมกับอัมพาตสมองซีกขวา
- Nominal คือ เข้าใจ พูดตามได้แต่บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstman 's Syndrom
- Global คือ ไม่เข้าใจภาษาที่พูด เช่น พูดไม่ได้เลย
- Sensory คือ เขียนเองไม่ได้ บอกชื่อสิ่งของไม่ได้แต่เขียนตามแบบได้
- Motor คือ ลอก เขียน ไม่ได้เลย เชียนตามคำบอกไม่ได้
- Cortical คือ อ่านไม่ออกเพราะไม่เข้าใจภาษา
- Motor Alexia คือ เห็นตัวหนังสือ เข้าใจแต่อ่านไ่ม่ได้
- Gerstman's Syndrom ไม่รู้ชื่อนิ้ว ไม่รู้จักซ้ายขวา คำนวณไม่ได้ เขียน อ่าน ไม่ได้
-Visual Agnosia คือ เห็นวัตถุแต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร
- Auditory Agnosia คือ ไม่บอพร่องการได้ยินแต่ไม่สามารถแปลความหมายได้ ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ
( 2 ) ลักษณะอาการ
- ทารกจะร้องไห้เบา ๆ - ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
- ไม่อ้อแอ้ภายใน 10 เดือน - หลัง 5 ขวบ ใช้ประโยคไม่สมบูร์
- ไม่พูดภายใน 2 เืดือน - พูดกระตุกกระตัก
- หลัง 3 ขวบ ภาษาพูดเข้าใจยาก - ใช้ภาษาท่าทางสื่อความหมาย
งานที่ได้รับมอบหมาย
อาจารย์ให้ดูวีดิโอ แล้วสรุปสิ่งที่ได้จากวีดิโอ
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียน วันที่ 14 พฤศจิกายน 2556
เนื้อหาที่เรียน
1.ความหมายของเด็กพิเศษ
-ทางการแพทย์จะเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า "เด็กพิการ" เด็กที่มีความบกพร่อง สุญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ร่างกายหรืิิอจิตใจ
-ทางการศึกษา เด็กที่ต้องรับโอกาสในการศึกษาเฉพาะแต่ละบุคคลเพราะอาการของเด็กแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
สรุปความหมายของเด็กพิเศษ
-เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เท่าที่ควรจากการสอนปกติ
-มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางสติปัญญาและอารมณ์
-จำเ็ป็นต้องได้รับการกระตุ้น ฟื้นฟู และบำบัด
-จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
2.ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม ดังนี้
2.1 กลุ่มที่มีความสามรถพิเศษสูง -----> เด็กกลุ่มนีเรียกว่า "ปัญญาเลิศ" ซึ่งมี IQ สูงถึง 120
2.2 กลุ่มที่มีความบกพร่อง -----> กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้มี 10 อย่าง
2.2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ( Children With Intellectual Disabilities ) คือ เด็กที่มีสติปัญญาต่ำ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
(1) เด็กเรียนช้า
-สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติได้
-มี IQ อยู่ระหว่าง 71 - 90
-สามารถพัฒนาพัฒนาการได้
-สาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก คือ สภาวะด้านการเงิน ครอบครัว สภาพแวดล้อม การเสริมสร้างประสบการณ์ วิธีการสอน ซึ่งคือสาเหตุสำคัญ และปัจจัยภายใน คือ พัฒนาการของเด็ก
(2) เด็กปัญญาอ่อน คือ เด็กที่มีพัฒนาการหยุะงัก สติปัญาต่ำ ความสามารถเรียนรู้น้อย พัฒนาการล่าช้า การจำกัดทางด้านทักษะ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
-ปัญญาอ่อนหนักมาก -----> มี IQ น้อยกว่า 20 ต้ิองอยู่ในการดูแลของสถานที่ดูและเด็กพิการ
-ปัญญาอ่อนหนัก------> มี IQ 20 - 34 สามารถช่วยเหลือตนเองได้ง่าย ๆ
-ปัญญาอ่อนกลาง----->มี IQ 35 - 49 สามารถทำงานง่าย ๆ ได้ที่ไม่ละเอียดมาก เรียกเด็กลุ่มนี้ว่า T.M.R คือสามารถฝึกได้
-ปัญญาอ่อนน้อย----->มี IQ 50 - 70 สามารถเข้าโรงรียนได้ เรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า E.M.R
(3) ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด -ความสนใจสั้ัน
-ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนง่าย -ทำงานช้า
-รุนแรง -อวัยวะบางส่สนผิดปกติ
2.2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ( Children With Hearing Impaired ) คือ เด็กที่มีความบกพร่องหรือสุญเสียการได้ยินเป็นสาเหตุให้รับฟังเสียงต่าง ๆ มีปัญหา แบ่งได้ 2 กลุ่ม
(1) เด็กหูตึง------>สามารถรับฟังเสียงโดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกได้ 4 กลุ่ม
-หูตึงระดับน้อย----->ได้ยินเสียงระหว่าง 26 - 40 dB จะไม่ได้ยินเสียงเบามาก เช่น เสียงกระชิบ
-หูตึงระดับปานกลาง------>สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 41 - 55 dB หากยืนอยู่ในระยะ 3- 5 ฟุตจะไม่ได้ยินเสียง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน
-หูตึงระดับมาก------->สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 56 - 70 dB มีปัญหาในการฟัง ต้องเป็นเสียงระดับเครื่องตัดหญ้าถึงจะได้ยิน
-หูตึงระดับรุ่นแรง------>สามารถได้ยินในระดับ 71 - 90 dB ต้องเสียงดังมาก ๆ เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง เด็กมักพูดไมชัด
(2) เด็กหูหนวก------->สูญเสียการได้ยิน ต้องมีความดัง 91 dB ขึ้นไป
(3) ลักษณะการบกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองการพูด -มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกไวนากรณ์ -พูดด้วยน้ำเสียงแปลก
-เสียงต่ำ เสียงสูงเกินความจำเป็น -มักทำหน้าเด๋อ
2.2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น (Children With Visual Impairment ) คือ
-มองไม่เห็น หรือ เรือนราง
-มองเห็นได้ 1 ใน 10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้าง 30 องศา
จำแนกได้ 2 ประเภท ดังนี้
(1) เด็กตาบอด
-มองไม่เห็นเลยหรืออาจเห็นบางเพียงเล็กน้อย
-อาจมองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200 หรือเพียง 1 ใน 10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้าง 5 องศา
(2) เด็กตาบอดไม่สนิท
-บอพร่องทางสายตา
-มองเห็นบาง
-ทดสอบสายตาข้างที่ดีได้ 6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
(3) ลักษณะความบกพร่อง
-เดินงุ่มงาม เดินสะดุด -มองสีผิดปกติ
-บ่นปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตายลาย -ก้มศีรษะใกล้เวลาทำงาน
-ปิดตาข้างมองไม่เห็นแล้วใช้ข้างที่ดีมอง
-มีความลำบากในการจำ
1.ความหมายของเด็กพิเศษ
-ทางการแพทย์จะเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า "เด็กพิการ" เด็กที่มีความบกพร่อง สุญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ร่างกายหรืิิอจิตใจ
-ทางการศึกษา เด็กที่ต้องรับโอกาสในการศึกษาเฉพาะแต่ละบุคคลเพราะอาการของเด็กแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
สรุปความหมายของเด็กพิเศษ
-เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เท่าที่ควรจากการสอนปกติ
-มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางสติปัญญาและอารมณ์
-จำเ็ป็นต้องได้รับการกระตุ้น ฟื้นฟู และบำบัด
-จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
2.ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม ดังนี้
2.1 กลุ่มที่มีความสามรถพิเศษสูง -----> เด็กกลุ่มนีเรียกว่า "ปัญญาเลิศ" ซึ่งมี IQ สูงถึง 120
2.2 กลุ่มที่มีความบกพร่อง -----> กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้มี 10 อย่าง
2.2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ( Children With Intellectual Disabilities ) คือ เด็กที่มีสติปัญญาต่ำ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
(1) เด็กเรียนช้า
-สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติได้
-มี IQ อยู่ระหว่าง 71 - 90
-สามารถพัฒนาพัฒนาการได้
-สาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก คือ สภาวะด้านการเงิน ครอบครัว สภาพแวดล้อม การเสริมสร้างประสบการณ์ วิธีการสอน ซึ่งคือสาเหตุสำคัญ และปัจจัยภายใน คือ พัฒนาการของเด็ก
(2) เด็กปัญญาอ่อน คือ เด็กที่มีพัฒนาการหยุะงัก สติปัญาต่ำ ความสามารถเรียนรู้น้อย พัฒนาการล่าช้า การจำกัดทางด้านทักษะ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
-ปัญญาอ่อนหนักมาก -----> มี IQ น้อยกว่า 20 ต้ิองอยู่ในการดูแลของสถานที่ดูและเด็กพิการ
-ปัญญาอ่อนหนัก------> มี IQ 20 - 34 สามารถช่วยเหลือตนเองได้ง่าย ๆ
-ปัญญาอ่อนกลาง----->มี IQ 35 - 49 สามารถทำงานง่าย ๆ ได้ที่ไม่ละเอียดมาก เรียกเด็กลุ่มนี้ว่า T.M.R คือสามารถฝึกได้
-ปัญญาอ่อนน้อย----->มี IQ 50 - 70 สามารถเข้าโรงรียนได้ เรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า E.M.R
(3) ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด -ความสนใจสั้ัน
-ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนง่าย -ทำงานช้า
-รุนแรง -อวัยวะบางส่สนผิดปกติ
2.2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ( Children With Hearing Impaired ) คือ เด็กที่มีความบกพร่องหรือสุญเสียการได้ยินเป็นสาเหตุให้รับฟังเสียงต่าง ๆ มีปัญหา แบ่งได้ 2 กลุ่ม
(1) เด็กหูตึง------>สามารถรับฟังเสียงโดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกได้ 4 กลุ่ม
-หูตึงระดับน้อย----->ได้ยินเสียงระหว่าง 26 - 40 dB จะไม่ได้ยินเสียงเบามาก เช่น เสียงกระชิบ
-หูตึงระดับปานกลาง------>สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 41 - 55 dB หากยืนอยู่ในระยะ 3- 5 ฟุตจะไม่ได้ยินเสียง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน
-หูตึงระดับมาก------->สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 56 - 70 dB มีปัญหาในการฟัง ต้องเป็นเสียงระดับเครื่องตัดหญ้าถึงจะได้ยิน
-หูตึงระดับรุ่นแรง------>สามารถได้ยินในระดับ 71 - 90 dB ต้องเสียงดังมาก ๆ เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง เด็กมักพูดไมชัด
(2) เด็กหูหนวก------->สูญเสียการได้ยิน ต้องมีความดัง 91 dB ขึ้นไป
(3) ลักษณะการบกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองการพูด -มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกไวนากรณ์ -พูดด้วยน้ำเสียงแปลก
-เสียงต่ำ เสียงสูงเกินความจำเป็น -มักทำหน้าเด๋อ
2.2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น (Children With Visual Impairment ) คือ
-มองไม่เห็น หรือ เรือนราง
-มองเห็นได้ 1 ใน 10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้าง 30 องศา
จำแนกได้ 2 ประเภท ดังนี้
(1) เด็กตาบอด
-มองไม่เห็นเลยหรืออาจเห็นบางเพียงเล็กน้อย
-อาจมองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200 หรือเพียง 1 ใน 10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้าง 5 องศา
(2) เด็กตาบอดไม่สนิท
-บอพร่องทางสายตา
-มองเห็นบาง
-ทดสอบสายตาข้างที่ดีได้ 6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
(3) ลักษณะความบกพร่อง
-เดินงุ่มงาม เดินสะดุด -มองสีผิดปกติ
-บ่นปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตายลาย -ก้มศีรษะใกล้เวลาทำงาน
-ปิดตาข้างมองไม่เห็นแล้วใช้ข้างที่ดีมอง
-มีความลำบากในการจำ
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนวันที่ 7 พฤษจิกายน 2556
เนื้อหาที่เรียน
วันนี้เป็นการเรียนการวันแรกของรายวิชา อาจารย์เบียร์ให้ทำ mind mapping เกี่ยวกับเด็กพิเศษ ซึ่งอาจารย์มีข้อตกลงว่าห้ามเปิดอินเคอร์เน็ตหาข้อมูลให้เอาความรู้ที่ตัวเองมีเขียน mind mapping
การนำไปใช้
1.จากการที่ได้ทำ mind mapping ทำให้เรารู้ว่าพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเด็กพิเศษมีมากน้อยเพียงใด
2.อาจารย์จัดการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียน
วันนี้เป็นการเรียนการวันแรกของรายวิชา อาจารย์เบียร์ให้ทำ mind mapping เกี่ยวกับเด็กพิเศษ ซึ่งอาจารย์มีข้อตกลงว่าห้ามเปิดอินเคอร์เน็ตหาข้อมูลให้เอาความรู้ที่ตัวเองมีเขียน mind mapping
การนำไปใช้
1.จากการที่ได้ทำ mind mapping ทำให้เรารู้ว่าพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเด็กพิเศษมีมากน้อยเพียงใด
2.อาจารย์จัดการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)